แบบฝึกหัด ที่1
คำสั่ง หลังจากนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนแล้ว จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1.
ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
ตอบ เพราะ
มนุษย์ทุกคนต้องอาศัยอยู่ร่วมกับผู้อื่นเพราะฉะนั้นในการอยู่ด้วยกันหลายๆคนหลายเชื้อชาติ
หลายศาสนา จะต้องมีกฎระเบียบหรือข้อบังคับร่วมกัน หรือมีกฎหมายขึ้นมานั่นเองหากผู้ใดไม่ปฎิบัติตามกฎหมายจะต้องมีโทษกฎหมายจะเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาบ้านเมืองถ้าไม่มีกฎหมายบ้านเมืองก็จะวุ่นวาย
อยู่ไม่เป็นสุขต่างคนต่างอยู่และไม่เจริญก้าวหน้า
2.
ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
ตอบ
อยู่ไม่ได้เพราะสังคมในปัจจุบันมีความวุ่นวายมากทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง
ทางด้านเศรษฐกิจ
ถ้าหากว่าไม่มีกฎหมายเข้ามาช่วยดิฉันคิดว่ามันจะวุ่นวายกว่านี้
ทั้งทางด้านการก็ไม่ทันสมัยล้า
หลังอยู่ไม่เป็นระเบียบขาดการพัฒนา
เศรษฐกิจก็ย่ำแย่กว่าที่เป็นอยู่ ประชาชนต่างคนต่างอยู่ซึ่งในที่สุดก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้
3.
ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ก. ความหมาย
กฎหมายคือ คำสั่งหรือข้อบังคับ จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ
เป็นข้อบังคับใช้
กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนด บทลง
โทษ กฎหมายมีหลายประเภทและหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการบังคับใช้และ การ
จัดการศึกษาจำเป็นต้องมีกฎหมายเป็นบรรทัดฐานหรือเครื่องมือในการบิรหารจัดการที่ เกี่ยวข้องกับ
การจัดองค์กร การบริหารงานบุคคล การบริหารทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตลอดจน กฎคำาสั่งหรือข้อบังคับที่เกี่ยวของกับการจัดการศึกษา
ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ลักษณะหรือองค์ประกอบมี 4
ประการคือ (ชีรวัฒน์ นิจเนตร,2542, 2-3;สกล สัมพันธ์กลอน, 2545,1;พิชิต รอดทอง,2550, 4-5)
1.
เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตยที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุด
อาทิ
รัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติ
หัวหน้าคณะปฏิวัติ
กษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สามารถ ใช้อำนาจ
บัญญัติกฎหมายได้ เช่น
รัฐสภา ตราพระราชบัญญัติ คณะรัฐมนตรี ตราพระราชกำหนดพระราช
กฤษฎีกา คณะปฏิวัติ ออกคำสั่ง หรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่าง ๆ ถือว่าเป็นกฎหมาย
2.
มีลักษณะเป็นคำสั่งข้อบังคับ อนุมัติใช้คำวิงวอน ประกาศ หรือแถลงการณ์ อาทิ ประกาศ ของกระทรวงศึกษาธิการ
คำแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมีใช้กฎหมาย สำาหรับ คำสั่งข้อบังคับที่เป็นกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติ การศึกษาภาคบังคับพ.ศ. 2545 พระราชกำหนดบริหารราชการฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นต้น
3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาค
เพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคม จะสงบสุขได้เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ ใช้บังคับกับผู้ที่มีเงินได้ แต่ไม่บังคับเด็กที่ยังไม่มี เงินได้ การ
แจ้งคนเกิดภายใน 15
วัน แจ้งคนตายภายใน 24 ชั่วโมง
ยื่นแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหาร กองเกน เมื่อ
อายุย่างเข้า 18
ปี เข้ารับการตรวจคัดเลือกเป็นทหารประจำการเมื่ออายุย่างเข้า 21 ปี เป็นต้น
4.
มีสภาพบังคับ ซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้น การกระทาตามกฎหมายนั้น ๆ กำหนด หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้ และสภาพบังคับในทางอาญาคือ โทษที่บุคคลผ้ที่กระทำผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น รอลงอาญา ปรับจาคุก กักขัง ริมทรพย์
แต่หากเป็นคดีแพง
ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหม่ ทดแทน หรือค่าเสียหายหรือชำระหนี้ด้วยการสั่งมอบทรัพย์สนให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างใด อยางหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เช่น
บังคับใช้หนี้เงินกพร้อมดอกเบี้ย บังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายเป็นต้น
ค.ที่มาของกฎหมาย
ตอบ ที่มาของกฎหมาย มีตำราบางแห่งใช้ว่าบ่อเกิดของกฎหมาย หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบ ที่กฎหมายแสดงออกมา สำหรับทที่มาของกฎหมายในแต่ละประเทศมีที่มาต่อกัน
ส่วนของประเทศไทย พอที่จะสรุปได้ 5 ลักษณะดังนี้ (ศรราชา เจริญพานิช, 2525; คมชัย สวรรณดและคณะ,2545; สกล สัมพันธกลอน, 2545;สายหยด แสงอุทัย,2552)
1. บทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เป็นกฎหมายลักษณะอักษร
เช่น กฎหมายประมวลรัษฎากร รัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง เทศบัญญัติ
ซึ่ง
กฎหมายดังกล่าว
ผู้มีอำนาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
2.
จารีตประเพณี
เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน หากนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมีสภาพไปเป็นกฎหมาย
เช่น การชกมวยเป็นกีฬา
หากชน ตามกติกา หากคู่ชกบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแกชีวิต
ย่อมไม่ผิดฐานทำร้ายร่างกายหรือฐานฆ่าคนตาย อีกกรณีหนึ่งแพทย์รักษาคนไข้ ผ่าตัดขาแขน โดยความยินยอมของคนไข้ ย่อมถือว่าไม่มีความผิด
เพราะเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา
ปฏิบัติโดยชอบตามกติกาหรือเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่ กำหนดจงไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย
3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุก ๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามทำร้ายผู้อื่น กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
4.
คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษา ซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นสั่ง
เป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลัง ๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่ง
ความคิดของตน
ว่าทำไมจึงตัดสินคดีเช่นนั้น อาจนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคดีนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
5.
ความเห็นของนักนิติศาสตร์ เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมาย
อย่างนั้น สมควรหรือไม่ จึงทำให้นักนิติศาสตร์ อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดง ความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้
ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน
สูงสุดกับประชาชนดังกล่าว
เช่น กฎหมายลักษณะอาญาประกาศใช้ใหม่ ๆ บัญญัติว่า “การถืออาวุธ
ในถนนหลวงไม่มีความผิดถ้าไม่มีกระสุน” ต่อมาพระบิดากฎหมายได้ทรงเขียนอธิบายเหตุผลว่า “การถืออาวุธในถนนหลวงควรมีข้อห้ามหรือเป็นความผิด”จึงได้แก้ไขกฎหมาย ดังกล่าว
ง. ประเภทของกฎหมาย
ตอบ ได้มีนักวิชาการแบ่งประเภทของกฎหมายไว้หลากหลาย ขั้นอยู่กับหลักเกณฑ์ในการแบ่ง ของแต่
ละท่าน การแบ่งประเภทกฎหมายที่จะนำไปใช้นั้นมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน หาก เราจะ
พิจารณาแบ่งประเภทของกฎหมายออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แบ่งได้หลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ อะไร
เป็นหลักในการแบ่ง ได้แก่
แบ่งโดยแหล่งกำเนิด อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก กฎหมายภายใน
เป็นหลักในการแบ่งย่อยออกไปได้อีก เช่น
แบ่งโดยถือเนื้อหาเป็นหลัก เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลักแบ่งได้เป็นกฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ แบ่งโด ยยึดถื อฐา นะ แล ะคว าม สัม พันธ์
ระ หว่ างรั ฐกั บป ระช าช นเ ป็นเ
กณ ฑ์ แบ่ง ได้ เป็ น
กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน กฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศแบ่งตามลักษณะของฐานะความสัมพันธ์ เช่น แบ่งเป็นกฎหมาย
ประเภทแผนกคดีเมือง ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐหนึ่งกับบุคคลในอีกรัฐหนึ่ง และ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยข้อตกลงระหว่างรัฐในการร่วมมือ
อย่างถอยที่ถอยปฏิบัติในการปราบปรามอาชญาระหว่างประเทศและส่งตัวผู้ร้ายข้ามให้แก่กัน
(สมคิด บางโม, 2548, 16-17 ;ภูมิชัย สุวรรณัดและคณะ,
2543, 27-31 ; สกล สัมพันธกลอน,
2546,
4-5 ; มานิตย ์จัมปา,2542, 119 ; ศรีราชา เจริญพานิช, 2548,118-119)
ซึ่งการแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ขึ้นอยู่ใช้หลักใดจะข้อกล่าวโดยทั่วๆไปดังนี้
ก.กฎหมายภายใน มีดังนี้
1.
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลักโดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย
เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมายต่าง ๆ พระราชกำหนด
พระราชกฤษฎีกา
ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือ ออกโดยองค์การ บริหารส่วนท้องถิ่น อาศัยอำนาจจากพระราชบัญญัติ เช่น เทศบัญญัติ
1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่มีได้มีการบัญญัติโดยผ่าน กระบวนการนิติบัญญัติ เช่น จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
2.
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 วรรค แรก บัญญัติโทษทางอาญา เช่น การประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน สภาพบังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ใช้ลงโทษกับผู้กระทำดทางอาญา
2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่งได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่าง ๆ กันไว้ สำหรับลงโทษผู้ทฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่ น การกำหนดให้เป็น
โมฆะกรรมหรือโมฆยกรรม การบังคับให้ชำระหนี้
การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมาย
บังคับให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม อนึ่งสำหรับสภาพบังคับทงทางอาญาและทางแพ่งควบคู่กันไปก็ได้
เช่น กฎหมายที่ดิน พระราชบัญญัติลิขสิทธ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และพระราชบัญญัติการล้มละลายอีกทั้ง ยังมีสภาพบังคับทางปกครองอีก ตามพระราชบัญญัติวธปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ.
2539
3.
กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ แบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก กล่าวถึงการกระทาที่กฎหมายกำหนดเป็นองค์ประกอบแห่งความผิด หรือเป็นสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบ
ของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กฎหมายประสงค์จะควบคุมหรือคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน
ซึ่งจะก่อให้เกิดผล มีสภาพบังคับที่รัฐหรือผู้มีอำนาจบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นผู้กำหนด การกระทำผิด เหตุการณ์ที่เกิดขนเขาลกษณะองคประกอบความผิดตามบทกฎหมาย กฎหมายที่ กำหนดองค์ประกอบความผิด และกำหนดความร้ายแรงแห่งโทษจึงเป็นกฎหมายสารบัญญัติเช่นตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาและในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกือบทุกมาตรา
เป็นกฎหมายสารบัญญัติ
3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ กล่าวถึง วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับเช่น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งในประมวลกฎหมายนี้กำหนดตั้งแต่อำนาจหน้าที่ของ เจ้าพนักงานของรัฐในการดำเนินคดีทางอาญา การร้องทุกข์ การกล่าวโทษว่ามีการกระทำผิดอาญา
เกิดขึ้น การสอบสวนคดีโดยเจ้าพนักงาน
การฟ้องร้องคดีต่อศาล การพิจารณาคดี และการพิจารณา
คดีในศาล การลงโทษแก่ผู้กระทำผิด สำหรับคดีแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่งจะกำหนด ขั้นตอนต่าง ๆไว้ เป็นวิธีการดำเนินคดีเริ่มตั้งแต่ฟ้องคดีเรื่อยไปจนถึงศาลพิจารณาคดีและบังคับให้ เป็นไปคำพิพากยังมีกฎหมายบางฉบับมีทั้งที่เป็นสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติทำให้ยากที่จะแบ่งว่าเป็น ประเภทใด เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย มีทั้งหลักเกณฑ์องค์ประกอบและวิธีการดำเนินคดี ล้มละลายรวมอยู่ด้วย การที่จะเป็นไปกฎหมายประเภทใดให้ดูว่าสาระนั้นหนักไปทางใดมากกว่ากัน
4.
กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4.1กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธิ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐ
เป็นผุ้อำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย
เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม เป็น เครื่องมือในการควบคุมสังคม คือ กฎหมายมหาชน
ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ
กำหนดระเบียบแบบแผนการใช้อำนาจอธิปไตย
กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน กฎหมายปกครองกำหนดการแบ่งส่วนราชการเพื่อบริหารประเทศ และการบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน กฎหมายอาญาเพื่อคุ้มครองความสงบในสังคม
รัฐต้องลงโทษผู้ฝ่าฝืนและกระทำผิด สาหรับวิธีและขั้นตอนที่จะเอาคนมาลงโทษทางอาญา บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญา และพระบัญญัติอัน เป็นกฎหมายที่ควบคุมและคุ้มครองสังคมให้เกิดความสงบสุขและเป็นธรรม
4.2 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน เช่นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และพระราชบัญญัติบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัดเปิดโอกาสให้ประชาชนสร้างความสัมพันธ์เชิงกฎหมายระหว่างกันในรูปของการทานตกรรม
สัญญา มีผลต่อคู่กรณีให้มีกฎหมายคุ้มครองทั้ง 2 ฝ่ายมีผลผูกพัน โดยการทำสัญญา
ปฏิบัติตาม กฎหมายครบทุกประการ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปปฏิบัติตามหน้าที่ย่อมถูกฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามได้
ข. กฎหมายภายนอก มีดังนี้
1.
กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน ในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีเกณฑ์กำหนดกล่าวคือ1)
ประชาชนร่วมกันอยู่เป็นกลุ่มก่อน ปึกแผ่น เรียกว่าพลเมือง 2)ต้องมีดินแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน3) มีการปกครองเป็นระเบียบแบบแผน4) เป็นเอกราช 5) มีอธิปไตยเช่นกฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา ข้อตกลงการค้าโลก กฎหมายที่เป็นจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมานาน รัฐทุกรัฐต่างเห็นชอบ เช่น หลักการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต เอกสิทธ์ในทางการทูต
2.
กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นข้อบังคับทว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุ
คค ลใ นรั ฐต่างรั ฐ เ ช่ นพ
ร ะร าชบั ญญั ติว่าด้
วยการขัดแ ย้ง แห่งก
ฎห มา ยเ ป็ นการบังคับความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในรัฐอื่น ๆ
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทำผิดนอกประเทศ
นั้นได้ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
4.
ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า ทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
ตอบ เพราะว่าทุกประเทศจะต้องมีการเมืองการปกครอง
ต้องมีการพัฒนาประเทศและ จะต้องอาศัยอยู่
ด้วยกันเป็นจำนวนมากดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะจะทำให้ประเทศมีระเบียบไม่วุ่นวาย
ที่สำคัญคือต้องพัฒนาประเทศอยู่ตลอดเวลาเพราะกฎหมายเปรียบเสมือนหัวใจหลักของการพัฒนา
5.
สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ สภาพบังคับในทางกฎหมายคือเป็นกฎหมายข้อบังคับที่จะต้องปฏิบัติตาม
เป็นการจัดลำดับแห่งคำบังคับของกฎหมายหรืออาจ กล่าวได้ว่าอาศัยอำานาจขององค์กรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน ในการจัดลำดับมีการจัดอย่างไร ซึ่งจะต้องอาศัยหลักว่า กฎหมายหรือ บทบัญญัติใด้ของกฎหมายที่อยู่ในลำดับที่ต่ำกวา จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลำาดับทสูงกว่าไม่ได้
6.
สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ แตกต่างกัน เพราะ
- กฎหมายอาญา
ผู้ที่กระทำความผิดจะต้องรับโทษ เช่น รอลงอาญา ปรับ จำคุก กีกขัง ริมทรัพย์
บังคับทางอาญาจะเป็นการทำโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างต่อบุคคลที่กระทำความผิดทางอาญาแต่กฎหมายทางแพ่งได้บังคับลักษณะต่างๆกันไว้สำหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย
เช่น การกำหนดให้ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย
หรือการที่กำหมายบังคับให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
7.
ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
ตอบระบบของกฎหมาย แบ่งเป็น 2 ระบบดังนี้ (นิพนธ สุริยะ, 2525, 51-57; สมคิด บางโม, 2546, 15-16)
1. ระบบซวิลลอร (Civil Law System)
หรือระบบลายลักษณอักษร ถือกำเนิดขึ้นในทวีป ยุโรปรา
คริสตศตวรรษที่ 12 เป็นระบบเอามาจาก “Jus Civile” ใช้แยกความหมาย “Jus Gentium” ของโรมน
ซึ่งมลักษณะพิเศษกล่าวคือ เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอันคำพิพาก
ษาของศาลไม่ใช้ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมาย เท่านั้น เริ่ม
ต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคำพิพากษาศาลหรือความคดีเห็นของ
นักกฎหมาย
เป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน และ การวินิจฉัยคดี
ผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ประเทศยุโรป
เช่น อิตาลี
เยอรมัน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศตะวันออก เช่น ไทย ญี่ปุ่น
2. ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) เกิดและวิวัฒนาการขึ้นในประเทศอังกฤษ มีรากเหง้ามา
จากศักดิ์นา ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคำว่า “เอคคิวตี้ (equity) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริม แต่งให้คอมมอน
ลอว์เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นำเอาจารีตประเพณีและคำพิพากษา
ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัย
เก่ามาใช้ จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง
การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายนี้
เช่น อังกฤษ สห
รัฐอเมริกา และประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ
8. ประเภทของกฎหมายมหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วย
อะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
ตอบ ได้มีนักวิชาการแบ่งประเภทของกฎหมายไว้หลากหลาย
ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ในการแบ่ง ของแต่ละท่าน
การแบ่งประเภทกฎหมายที่จะนำไปใช้นั้นมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน หาก เราจะพิจารณาแบ่งประเภทของกฎหมายออกเป็นกลุ่มยอย ๆ แบ่งได้หลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ อะไรเป็นหลักในการแบ่ง ได้แก่แบ่งโดยแหล่งกำเนิด อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก กฎหมายภายในเป็นหลักในการแบ่งย่อยออกไปได้อีก เช่น
- แบ่งโดยยึดถือเนื้อหาเป็นหลัก เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร
- แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลัก แบ่งได้เป็น กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ แบ่งโด ยถื
อฐา นะ แล ะคว าม สัม พันธ์ ระ หว่ างรั ฐกั บป ระช าช นเ ป็นเ
กณ ฑ์ แบ่งได้ เป็ น
กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
กฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหวางประเทศแบ่งตามลักษณะของฐานะความสัมพันธ์ เช่น
แบ่งเป็นกฎหมาย
ประเภทแผนกคดีเมือง ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐหนึ่งกับบุคคลในอีกรัฐหนึ่ง และ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยข้อตกลงระหว่างรัฐในการร่วมมือ อย่างถอยที่ถอยปฏิบัติในการปราบปรามอาชญาระหว่างประเทศและส่งตัวผู้ร้ายข้ามให้แก่กัน
(สมคด บางโม, 2548, 16-17 ;ภูมชย สวรรณดและคณะ,
2543, 27-31 ; สกุล สัมพนธกลอน,
2546,4-5 ; มานิตย์ จมปา,2542, 119 ; ศรราชา เจริญพานิช, 2548,118-119) ซึ่งการแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ขึ้นอยู่ใช้หลักใดจะข้อกล่าวโดยทั่วๆไปดังนี้
ก.กฎหมายภายใน มีดังนี้
ก.กฎหมายภายใน มีดังนี้
1.
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลัก
โดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย
เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมายต่าง ๆ พระราชกำหนด
พระราชกฤษฎีกา
ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือออกโดยองค์การ บริหารส่วนท้องถิ่น อาศยอำนาจจากพระราชบัญญัติ เช่น เทศบัญญัติ
1.2
กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่ไม่ได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 วรรค แรก
บัญญัติโทษทางอาญา เช่น การประหารชีวิต
จำคุก
กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน สภาพ
บังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
ใช้ลงโทษกับผู้กระทำผิดทางอาญา
2.2
กฎหมายทมสภาพบังคับทางแพ่ง ได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่าง
ๆ กันไว้
สำหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่ น
การกำหนดให้เป็นโมฆะกรรมหรือโมฆยกรรม การบังคับให้ชำระหนี้ การให้ชดใช้คำเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
อนึ่งสำหรับสภาพบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งควบคู่กันไปก็ได้ เช่น กฎหมายที่ดิน พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และพระราชบัญญัติการล้มละลายอีกทั่ง ยังมีสภาพบังคับทางปกครองอีก ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ.
2539
3. กฎหมายสารบัญญัติ
และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ แบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก กล่าวถึงการกระทำกฎหมายกำหนดเป็นองค์ประกอบแห่งความผิด หรือเป็นสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบ
ของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กฎหมายประสงค์จะควบคุมหรือคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน
ซึ่งจะก่อให้เกิดผล มีสภาพบังคับที่รัฐหรือผู้มีอำนาจบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นผู้กำหนดการกระทำผิด เหตการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าลักษณะองค์ประกอบความผิดตามบทกฎหมาย กฎหมายที่กำหนดองค์ประกอบความผิด และกำหนดความร้ายแรงแห่งโทษจึงเป็นกฎหมายสารบัญญัติเช่นตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาและในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกือบทุกมาตรา
เป็นกฎหมายสารบัญญัติ
3.2
กฎหมายวิธีสบัญญัติ กล่าวถึง วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับเช่น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึงในประมวลกฎหมายนี้กำหนดตั้งแต่อำนาจหน้าที่ของ เจ้าพนักงานของรัฐในการดำเนินคดีทางอาญา การร้องทุกข์ การกล่าวโทษว่ามีการกระทำผิดอาญา เกิดขึ้น
การสอบสวนคดีโดยเจ้าพนักงาน
การฟ้องร้องคดีต่อศาล การพิจารณาคดี และการพิจารณาคดีในศาล การลงโทษแก่ผู้กระทำผิด สำหรับคดีแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่งจะกำหนด ขั้นตอนต่าง ๆไว้
เป็นวิธีการดำเนินคดีเริ่มตั้งแต่ฟ้องคดีเรื่อยไปจนถึงศาลพิจารณาคดีและบังคับให้ เป็นไปคำพิพากษายังมีกฎหมายบางฉบับมีทั้งที่เป็นสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติทำให้ยากที่จะแบ่งว่าเป็น ประเภทใด เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย มีทั้งหลักเกณฑ์องค์ประกอบและวีธีการดำเนินคดี ล้มละลายร่วมอยู่ด้วย การที่จะเป็นไปกฎหมายประเภทใดให้ดูว่าสาระนั้นหนักไปทางใดมากกว่ากัน
4.
กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4.1กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐ
เป็นผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม เป็น เครื่องมือในการควบคุมสังคม คือ กฎหมายมหาชน
ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดระเบียบแบบแผนการใช้อำนาจอธิปไตย
กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน กฎหมายปกครองกำหนดการแบ่งส่วนราชการเพื่อบริหารประเทศ และการบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน กฎหมายอาญา เพื่อคุ้มครองความสงบในสงคม รัฐต้องลงโทษผู้ฝ่าฝืนและกระทำผิด สำหรับวิธี และขั้นตอนที่จะเอาคนมาลงโทษทางอาญา บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญา และพระบัญญัติอื่น
ๆ เป็นกฎหมายที่ควบคุมและคุ้มครองสังคมให้เกิดความสงบสุขและเป็นธรรม
4.2
กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน เช่น
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัดเปิดโอกาสให้ประชาชนสร้างความสัมพันธ์เชิงกฎหมายระหว่างกันในรูปของการทำนัตกรรม
สัญญา มีผลต่อคู่กรณีใหม่กฎหมายคุ้มครองทั้งง
2 ฝ่ายมีผลผูกพันโดยการทำสัญญา
ปฏิบัติตามกฎหมายครบทุกประการ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปปฏิบัติตามหน้าที่ย่อมถูกฟองบังคับให้ปฏิบัติตามได้
ข. กฎหมายภายนอก มีดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรฐใน
การที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกันในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีเกณฑ์กำหนดกล่าวคือ
1)
ประชาชนร่วมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ปึกแผ่น เรียกว่า พลเมือง
2) ต้องมีดินแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน
3) มีการปกครองเป็นระเบียบแบบแผน
4) เป็นเอกราช
5)
มี อธิปไตย เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา ข้อตกลงการค้าโลก กฎหมายที่เป็นจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมานาน รัฐทุกรัฐต่างเห็นชอบ เช่น หลักการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต เอกสิทธิในทางการทูต
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง
บุคคลในรัฐต่างรั ฐ เ ช่ นพ ร ะราชบั
ญญั ติว่ าด้วยการขั ด แย้ งแ ห่ง กฎหมายเป็นการบังคับความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในรัฐอื่น ๆ
3.
กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้
ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทำผิดนอกประเทศ
นั้นได้ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
9.
ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร มีการแบ่งอย่างไร
ตอบ “เป็นการจัดลำดับแห่งคำบังคับของกฎหมายหรืออาจ กล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององคกรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน”
ซึ่งจะต้องอาศัยหลักว่า กฎหมายหรือ บทบัญญัติใดของกฎหมายที่อยู่ในลาดับทต่ำกว่า
จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลำดับที่สูงกว่าไม่ได้ และเราจะพิจารณาอย่างไร โดยพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย
โดยใชเหตุผล ที่ว่า
(1) การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ควรจะเป็นกฎหมายเฉพาะที่สำคัญ เป็นการกำหนด หัลกการและนโยบายเท่านั้น เชน พระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชน (2)
การให้รัฐสภา เป็นการทันเวลา และทนต่อความต้องการและความจำเป็นของสังคม (3) ฝ่าย บริหารหรือองค์กรอื่นจะออกกฎหมายแลกจะต้องอยู่ในกรอบของหลักการนำนโยบายในกฎหมาย หลักฉบับนี้
10.
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน ณ ลานพระบรม
รูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม และขัดขวางไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทำร้ายร่างกาย ประชาชน
ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่า
รัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
ตอบ ดิฉันคิดว่าผิด เพราะในเมื่อประชาชนประกาศแล้วว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่สงบ
รัฐบาลจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นได้เรียกร้องความยุติธรรม
รัฐบาลเพียงคอยตรวจค่อยดูเรื่องความเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นได้ก็เพียงพอ
11.
ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ กฎหมายการศึกษา เป็นบทบัญญัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีกฎหมาย การศึกษาขั้น
ที่จะเชื่อมโยงกับกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยการศึกษาคือ จะเป็นกฎหรือคำสั่งหรือ
ข้อบังคับของรัฐเกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจได้ตราขึ้นบังคับใช้
และ ถือว่ากฎหมายทางการศึกษาฉบับแรกคือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
12.
ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้
ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่าเมื่อท่านไป ประกอบอาชีพครู จะมีผลกระทบต่อทานอย่างไรบ้าง
ตอบ กฎหมายการศึกษานั้นเป็นสิ่งจำเป็นกับครูมาก
เช่นกฎหมายเกี่ยวกับการตีเด็กกฎหมายว่าอย่างไรถ้าเราไม่รู้ไม่เรียนกฎหมายมาก่อนเราก็จะทำไม่ถูก
เพราะเราเป็นครูในอนาคตเพราะฉะนั้นเราจะต้องใช้กฎหมาย ถ้าไม่รู้กฎหมายก็จะทำให้เราเกิดผลกระทบในหลายๆด้านเช่นผลกระทบด้านการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น